Knowledge Management หรือ KM ที่เรารู้จักกันอย่างดีมากๆ กันแล้ว ก็เป็นเครื่องมือที่สำคัญทางการจัดการอีกตัวหนึ่ง เป็นการสร้างระบบและกระบวนการเพื่อรวบรวมองค์ความรู้อันถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาและแบ่งปันให้พนักงานแต่ละคนหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องได้เรียนรู้ และเมื่อแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มได้เรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้งาน จะก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมา ความรู้ใหม่นี้ก็จะถูกแบ่งปันกันต่อไป ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยทรัพย์สินทางปัญญาที่ว่านั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังถือเป็นการสร้างสมรรถนะหลักให้กับบริษัท นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
ขั้นตอนหรือวิธีการดำเนินอย่างย่อๆ ก็เริ่มจากการประเมินฐานความรู้ปัจจุบันขององค์กร แล้วก็หาว่าขีดความสามารถใดที่เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จในอนาคต และมีฐานองค์ความรู้อะไรที่ต้องสร้างขึ้นมาเพื่อผลักดันให้เราเป็นผู้นำไปสู่จุดนั้น ต่อจากนั้นก็เป็นลงทุนในการสร้างกระบวนการและระบบ เพื่อเร่งสะสมองค์ความรู้ ประเมินผลกระทบของระบบในเชิงภาวะผู้นำ วัฒนธรรม และการปฏิบัติงานที่ได้มา สุดท้ายก็ทำการประมวลความรู้ใหม่และเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเครื่องมือและสารสนเทศที่ใช้ในการปรับปรุงนวัตกรรมด้านสินค้า และผลกำไรโดยรวม
ในเรื่อง KM นั้นหลายองค์กรจะมีการนำ IT มาใช้ช่วยสร้างคลังความรู้ (Knowledge Warehouse) ขึ้นมาเพื่อเก็บองค์ความรู้ต่าง ๆ และแบ่งปัน ถ่ายทอดองค์ความรู้ออกไปให้ผู้ที่ต้องการเรียนรู้ โดยเฉพาะคนในองค์กรทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นภาคส่วนที่ใช้เครื่องมือนี้อย่างได้ผลและเป็นเครื่องมือที่ยอดนิยมในลำดับต้นๆ เนื่องจากเป้าหมายของ KM ต้องการที่จะ หนึ่่งเพื่อปรับปรุงต้นทุนและคุณภาพของสินค้าและการบริการ สองเพื่อเสริมจุดแข็งและขยายสมรรถนะขององค์กรผ่านทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา(การแลกเปลี่ยน การขายลิขสิทธิ์) สามเพื่อปรับปรุงและเผยแพร่องค์ความรู้ไปทั่วทั้งองค์กร สี่เพื่อประยุกต์ใช้องค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมต่าง ๆ ห้าเพื่อสนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น ก่อให้เกิดผลกำไรมากขึ้น
นั่นเป็นภาคทางธุรกิจ ส่วนภาคราชการก็ให้น้ำหนักกับการนำเครื่องมือนี้มาใช้ในลำดับต้นๆ เหมือนกัน ด้วยเหตุผลเดียวกันอย่างที่พูดข้างต้นนั่นแหละ แต่ไม่ได้มองด้านกำไรที่เป็นตัวเงิน เป็นมองด้านประสิทธิภาพการทำงาน การบริการซะมากกว่า สิ่งที่บอกว่าภาคราชการให้น้ำหนักแก่เครื่องมือตัวนี้ ก็จะเห็นได้จาก หนึ่งคือการที่ ก.พ.ร. กำหนดเป็น KPI ให้ภาคราชการแต่ละหน่วยมีการจัดการความรู้ สองด้วย KM เป็นส่วนหนึ่งของการของ PMQA การกำหนดให้หน่วยงานราชการจัดทำ PMQA จึงมีการจัดทำ KM ไป สามในการจัดทำแผนงานใดๆ KM จะเป็นตัวหนึ่งในแผนงานที่เขียนไว้ ผู้เขียนเองก็เห็นว่าเครื่องมือตัวนี้หากจัดการอย่างดีแล้วละก็จะยกระดับการทำงานของภาคราชการเองได้เป็นอย่างดีมาก..มาก เพราะคนของภาคราชการล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีความรู้กันมาก มีความคิดความอ่านดีๆ มีประสบการณ์การทำงาน แต่ไม่ถูกนำมาถ่ายทอด แลกเปลี่ยนระหว่างพวกเรากันเอง เพื่อให้นำไปสู่การปรับปรุง/พัฒนางานให้งาน/ผลของงานขององค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การทำ KM ให้เป็นเนื้อเดียวกับการทำงานปกติจึงเป็นตัวที่จะช่วยให้เกิดสิ่งที่ผู้เขียนว่าข้างต้น แต่...แต่...ของจริงที่เป็นอยู่เรื่อง KM ของภาคราชการ ที่ในทางหลักการจะเป็นตัวช่วย กลับกลายเป็นภาระในระบบความคิดของคนราชการอีกหลาย..หลายคน มันจึงไม่ค่อยจะ Work ซักเท่าใด ....
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น